วันจันทร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2561

ในฐานะเจ้าของเงิน คุณไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยเหรอ ?


งบการศึกษาของเมืองไทยนั้นสูงมาก  หากตั้งใจจะปฎิรูปอย่างจริงจังก็คงสามารถพัฒนาทำได้เต็มที่  
แต่งบที่มากมายนั้นเอาไปใช้ทำอะไรเสียหมด เราถึงได้ระบบการศึกษาด้อยคุณภาพมาตรฐานดิ่งลงเหว

เป็นประโยคที่ผมได้กล่าวไว้ในคุมคลุมเครือ   ปมประเด็นข้อสงสัยที่ว่าทำไมกระทรวงศึกษาธิการ
หน่วยงานที่ได้รับงบประมาณสูงสุดและมีการเพิ่มงบทุกๆปี  แต่ผลงานกลับล้มเหลวโดยสิ้นเชิง
ผมคิดว่าวันนี้สังคมน่าจะพอได้รับคำตอบในคำถามนี้บ้างแล้ว จากกรณีคดีโกงเงินกองทุนเสมาพัฒนาชีวิต

ผมจะไม่อธิบายหรือย่อยข่าวนี้ให้ อยากรู้ไปไล่อ่านและไตร่ตรองกันเอาเอง คำตอบอยู่ตรงหน้าคุณแล้ว เหลือแต่ว่าเลือกที่จะรับรู้หรือไม่
ถ้าคุณจะปิดหูจะปิดตาคิดอย่างปลงตก ก็เพราะมันเป็นเสียอย่างนี้ เมืองไทยโกงกินกันเป็นเรื่องธรรมดา
หาเงินหาทองส่งลูกหลานไปเรียนเมืองนอกดีกว่า คิดแบบนั้นมันก็เป็นสิทธิ์ของคุณไม่มีใครห้ามปราม
แต่อย่าลืม ไม่ว่าคุณจะให้ลูกหลานเรียนเมืองไทยหรือเมืองนอก  คุณยังต้องจ่ายภาษีให้ประเทศนี้อยู่ดี นี่คือเงินของคุณ

ผมเชื่ออย่างมั่นใจว่านี่ไม่ใช่แค่คดีทุจริตยักยอกทรัพย์โกงเงินมหาศาลเพียงคดีเดียวในกระทรวงศึกษาธิการเป็นแน่แท้
ยังมีรอยตำหนิอีกมากมายที่เรายังไม่รู้  ทั้งที่เป็นสิทธิ์ของประชาชนต้องพึงรับทราบ เพราะนี่คือเงินของพวกเราทั้งหมด

ประชาชนให้เงินรัฐในรูปแบบภาษี เพื่อหวังให้รัฐนำเงินไปพัฒนามอบการศึกษาที่ดีมีคุณภาพแก่บุตรหลาน
แต่ประชาชนกลับตรวจสอบไม่ได้  รัฐสงวนให้ใช้กลไกภายในตรวจสอบกันเอง แล้วระบบก็ทำงานอย่างเชื่องช้าอืดอาดจนล่วงเวลาเป็นสิบปี
มันนานมากพอที่จะยืนยันว่าระบบมีปัญหาแน่นอน หากมีใครยืนกรานจะให้ใช้ระบบนี้ต่อไป ก็คงเสียสติอาการหนักเป็นแน่แท้

ปัญหาของกระทรวงศึกษาธิการ เท่าที่ผมพอจะคิดออกตามปัญญาอันน้อยนิด พอจะสรุปสาเหตุหลักได้สามข้อได้ดังนี้

1. มีขนาดใหญ่มากไป
2. รวมศูนย์มากไป
3. ราชการมากไป

สามข้อนี้ดูจะเป็นสาเหตุของปัญหาของหน่วยงานราชการอื่นๆด้วย ไม่ต่างจากกระทรวงศึกษาธิการ

องค์กรที่มีขนาดใหญ่และบริหารงานแบบรวมศูนย์ มันดีในแง่การปกครองแต่ไม่ดีในแง่ผลิตผลงาน
อีกทั้งความอุ้ยอ้ายขององค์กรทำให้มีกระบวนการทำงานล่าช้าขั้นตอนจุกจิก  ต้องรอให้นายคนนั้นคนนี้อนุมัติเสียเวลาโดยใช่เหตุ
ระบบจัดซื้อจัดจ้างก็มีช่องโหว่เปิดทางให้ทุจริตกันเป็นขบวนการ ผลาญงบประมาณของชาติอย่างน่าใจหาย
จนเป็นปัญหาที่ว่าทำไมราชการจ่ายแพงกว่าท้องตลาดแต่ไม่ได้ของดีที่สุดมาใช้งาน

"เช้าชามเย็นชาม"  นิยามข้าราชการที่เราได้ยินจนชินหู  ทั้งที่เราไม่ควรชินกับประโยคนี้ ควรรังเกียจเสียด้วยซ้ำ
การทำงานราชการในแบบไทยๆนั้นไม่มีแรงจูงใจให้ผู้คนในระบบอยากทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศ
แต่เอื้อให้ทำตัวอยู่ไปวันๆเอาตัวรอดให้พ้นไม่ต้องดิ้นร้นให้เหนื่อยนัก  ถึงไม่โดดเด่นไม่มีผลงานยังไงก็ไม่โดนไล่ออก ถ้าไม่ทำผิดร้ายแรง
แต่กว่าจะถึงระดับความผิดร้ายแรงนั้นก็ผ่านกระบวนการตัวช่วยมากมาย  โยกย้ายไปนั่นไปนี้เลี่ยงความผิดไปเรื่อยๆ
มีบำนาญให้กินตอนแก่ ถึงจะเงินเดือนน้อยแต่ก็มีสวัสดิการ มีหลักประกันชีวิตที่ดีกว่าประชาชนคนทั่วไปเสียอีก
(ประเด็นเงินเดือนน้อย น้อยจริงแค่บางส่วนตำแหน่งเล็กๆเท่านั้น ..ขอละไว้ไม่กล่าวถึง)

มันเป็นความจริงนับจากอดีตถึงปัจจุบันไม่เคยเปลี่ยนแปลง  สิ่งที่เปลี่ยนแปลงในระบบราชการมีแค่สภาพแวดล้อมเท่านั้น
จากพิมพ์ดีดมาเป็นคอมพิวเตอร์ กระดาษเอกสารมาเป็นสื่ออิเล็กทรอนิกส์ แต่จิตใจของคนทำงานราชการนั้นยังเหมือนเดิม
คนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ไฟแรงเข้าไปทำงาน กี่รุ่นๆสุดท้ายก็โดนระบบกลืนกินกลายเป็นพวกอยู่ไปวันๆ น้อยคนนักที่จะรักษาตัวตนไว้ได้

ถ้าเป็นเอกชน หากมีบริษัทไหนทำงานแบบราชการไทยๆ  แบ๊คไม่ดีทุนไม่หนาก็รอวันเจ๊งได้เลย
เอกชนถ้าอยู่ไปวันๆไม่ขวนขวายไม่พัฒนาไม่สร้างสรรค์ผลิตผลงานแล้วจะเอารายได้มาจากไหน
ต่างจากราชการที่กินภาษีจากประชาชน  ทำงานแย่แค่ไหนแต่ประชาชนก็ต้องเสียภาษีอยู่ดี
แถมตรวจสอบไม่ได้ ว่าเงินภาษีที่ประชาชนเสียไปนั้นเอาไปลงหน่วยงานไหน ทำอะไรบ้าง คุ้มค่าแก่การลงทุนไหม
เงินได้ใช้ไปอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยจริงหรือเปล่า เกิดมีการตกหล่นแอบไปลงกระเป๋าใคร ประชาชนก็ไม่รู้อยู่ดีถ้าเรื่องไม่แดง

ระบบราชการควรเป็นอะไรที่โปร่งใส่ ถ้าประชาชนตั้งข้อสงสัยเมื่อไร ราชการต้องพร้อมเผยข้อมูลตลอดเวลา
ถ้าเราไม่ปฎิรูประบบราชการกันอย่างจริงจัง เหตุการณ์แบบกองทุนเสมาพัฒนามันก็จะเกิดซ้ำรอยจนเป็นวงจรอุบาทว์ไม่รู้จักจบ
ยักยอกไป 88 ล้าน แจกทุนให้เด็กจริงแค่ 77 ล้าน  และทำอย่างนี้มาเป็นสิบปี

ในฐานะเจ้าของเงิน คุณไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยเหรอ ?

วันอาทิตย์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2561

Altered Carbon

อดีตทหารฝ่ายกบฎถูกตัดสินจำคุกจองจับจิต  ผ่านมา  250 ปีเขาถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาเพื่อไขปริศนาคดีฆาตกรรมมหาเศรษฐี

Altered Carbon  เป็นผลงาน Original Series เรื่องล่าสุดของ NETFLIX  ออกฉายเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา มีจำนวนทั้งสิ้น 10 ตอนจบ
สร้างมาจากนิยายวิทยาศาสตร์ของ Richard K. Morgan เป็นเรืองราวโลกอนาคตในอีก 350 ปีข้างหน้า
ยุคที่มนุษย์สามารถบันทึกจิตวิญญาณตัวเองแปลงเป็นข้อมูลดิจิตอล  และสามารถนำข้อมูลนั้นไปใส่ในกายหยาบร่างไหนก็ได้ 
โดยไม่จำกัดเพศ ไม่จำกัดวัย ไม่จำกัดอายุ จะทำกี่ครั้งก็ได้ถ้าข้อมูลนั้นไม่โดนทำลายให้ราบคาบชนิดกู้คืนไม่ได้
ดังนั้นถ้าใครรวยมีกำลังทรัพย์มากพอสามารถหาร่างใหม่และสำรองข้อมูลตัวเองได้เรื่อยๆ แทบจะอยู่ยาวมีชีวิตเป็นอมตะกันเลยทีเดียว
คอนเซปท์คร่าวๆก็จะประมาณนี้  ช่วงเริ่มต้นดูอาจรู้สึกมึนกับคำศัพท์เฉพาะ เช่น Stack, Sleeve ,Needle Cast  วนไปวนมา มันคืออะไรว้า ? 
สองตอนแรกต้องตั้งใจดูสักหน่อยแต่ทำความเข้าใจได้ไม่ยาก ไม่อธิบายนะครับเพราะผมขี้เกียจเขียน และถือว่าเป็นการทำให้เสียอรรถรสด้วย
โดยส่วนตัวมองว่าเสน่ห์อย่างหนึ่งของหนังไซไฟแนวโลกอนาคต คือคนดูต้องค่อยๆทำความเข้าใจบริบทด้วยตัวเอง
ในอนาคตนอกจากเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้น(หรือตกต่ำลง)  สภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลงเป็นเช่นไร
ผู้คนมีแนวคิด มีมุมมอง มีกฎเกณฑ์อะไรบ้างที่แตกต่างจากยุคปัจจุบัน
นิยาย Altered Carbon วางจำหน่ายปี 2002  พิจารณาดูจากปีเกิดและช่วงอายุของผู้เขียนแล้วก็พอเข้าใจ
ว่าทำไมเขาถึงจินตนาการโลกอนาคตมาในรูปแบบ Dystopia ,Cyberpunk เช่นนั้น มันเป็นแนวคิดร่วมสมัย 
ผมเข้าใจดีเพราะเติบโตมากับความบันเทิงสไตล์ Cyberpunk  ผ่านทางหนัง การ์ตูน นิยาย เกม
ดังนั้นกับประเด็นที่ว่าจิตคืออะไร ตัวตนคืออะไร ความเป็นมนุษย์คืออะไร จึงเป็นคำถามที่ผมเจอมาเจอเอียน
อ่อนล้าและรู้สึกเบื่อหน่ายกับการตีความ  ด้วยเหตุนี้ผมจึงดู Altered Carbon ในแง่ความบันเทิงอย่างเดียวมากกว่า
(คงเพราะความอ่อนล้านี่ล่ะมั้ง ที่ทำให้ผมดู Blade Runner 2049 อย่างเฉยชา ทั้งที่มันเป็นหนังภาคต่อที่รอคอยมาแสนนาน)     
ก่อนจะมาดู  เห็นข่าวผ่านตามีกระแสอวยนักแสดงหญิงตัวละครสำคัญ  ไม่รู้ว่าเป็นแผนการตลาดโปรโมทหนังหรือผมดูหนังไม่เป็นเอง
ไม่ได้รู้สึกว่าเธอคนนั้นจะเล่นดีในระดับน่าชื่นชมเท่าไรนัก ก็เล่นดีนั่นแหละแต่อยู่ในระดับมาตรฐาน
นักแสดงที่เล่นดีจริงๆจนผมประทับใจ กลับเป็นพวกตัวละครรองเสียมากกว่า ควรยกเสียงปรบมือให้พวกเขาเหล่านั้น
ตัวละครไหนที่ต้องเปลี่ยนร่างบ่อยๆ และทุกร่างสามารถทำให้คนดูเชื่อว่าเป็นตัวละครเดียวกัน  นั่นแหละคือความยากของบท
และเป็นความท้าทายของทีมงานว่ามีฝีมือจัดการได้ดีเพียงใด   มองว่าจุดนี้น่าชื่นชมมากกว่าเสียอีก...                                            
ถึงแม้สาระของ Altered Carbon จะไม่มีความสดใหม่สำหรับผม แต่ในแง่ความเพลิดเพลินถือว่าสอบผ่านได้คะแนนดีเลยทีเดียว
ตัวหนังติดเรทมีความรุนแรงพอสมควร  ผู้ปกครองควรพิจารณาก่อนให้เด็กและเยาวชนดู

เครดิตรูปภาพประกอบ : https://www.imdb.com/