"ตั้งหน้าจอมือถือเป็นรูปผีน่ากลัว เพื่อกันไม่ให้ลูกเล่นมือถือ"เห็นแล้วก็อึ้งทึ่งปนสงสัย มุกหลอกให้กลัวนั้นกลัวนี้เพื่อให้เด็กอยู่ในโอวาทคำสั่ง ยุคนี้แล้วยังจะใช้วิธีนี้เลี้ยงลูกกันอยู่อีกหรือ
ไอ้เรื่องปัญหาครอบครัวการเลี้ยงดูเด็ก ส่วนตัวแล้วไม่อยากวิพากษ์วิจารณ์ เพราะตัวเองเป็นคนไม่มีครอบครัวไม่มีลูก
ยอมรับว่าไม่อาจเข้าใจหัวอกคนเป็นพ่อเป็นแม่ได้เต็มร้อย ไม่สามารถมองมิติของปัญหาได้ครบถ้วน
แต่อยากจะเตือนสักเล็กน้อยว่า วัยเด็กนั้นสำคัญมาก สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตช่วงนี้มันสามารถมีผลกระทบต่อชีวิตตลอดไป
การหลอกให้เด็กกลัวโดยผู้ใหญ่เอาเหตุผลไปซ่อนไว้ แล้วบิดเบือนแทนที่ด้วยภาพมายา มันเป็นตรรกะวิบัติ
ทำซ้ำกันจนเป็นวงจรอุบาทว์ฝังรากลึกในสังคม เพราะเมื่อเด็กโตเป็นผู้ใหญ่มีครอบครัว ก็ใช้ตรรกะนี้สั่งสอนลูกตัวเองสืบต่อ
สังคมเราเลยกล้าเป็นสังคมที่กลัวในสิ่งที่ไม่มีเหตุผล กลัวเพราะมีคนบอกให้กลัว กว่าจะคิดได้ว่าทำไมต้องกลัว
บางคนใช้เวลาทั้งชีวิตกว่าจะคิดออก บางคนแม้ตายแล้วก็ยังคิดไม่ออก
เฮ้อ... เขียนอะไรเข้าใจยากอีกแล้ว พอดีกว่า หลาย Entry ที่ผ่านมาเขียนแต่ไรหนักๆ ชีวิตจะเครียดอะไรกันนักกันหนา
เขียนเรื่องเบาๆบ้างดีกว่า Entry นี้จะพูดถึงเฉพาะหนังซีรีย์ที่ได้ดูจนจบในช่วงที่ผ่านมา
...
..
.
The Sinner ตัวเอกเป็นคุณแม่วัยสาว ในขณะที่พักผ่อนหย่อนใจนั่งอยู่บนชายหาดกับสามีและลูกน้อย
อยูดีๆเธอก็ลุกขึ้นมา และได้ใช้มีดปอกผลไม้เข้าไปจ้วงแทงชายหนุ่มที่กำลังพลอดรักแฟนสาวอยู่ไม่ไกลจากครอบครัวของเธอ
ชายคนนั้นเสียชีวิต ผู้คนต่างตกใจแตกตื่นกันทั้งชายหาดและเธอก็ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงได้ก่อคดีฆาตกรรมไม่คาดฝันเช่นนี้
โดยรูปการณ์แล้วเหมือนจะเป็นคดีที่ปิดได้ง่ายดาย เพราะหลักฐานชัดเจน มีพยานเป็นร้อย ผู้ต้องหารับสารภาพทุกข้อกล่าวหา
แต่นายตำรวจผู้รับผิดชอบคดีนี้กลับไม่คิดเช่นนั้น อาจเพราะปัญหาชีวิตส่วนตัวหรือเพราะปมบิดเบี้ยวในใจเขา
กระตุ้นเตือนบางอย่างว่าคดีนี้ต้องมีความลับอะไรซ่อนอยู่....
ดูหน้าหนังเฉยๆ อ่านพล็อทเรื่องย่อก็น่าสนใจนิดหน่อย มันน่าเป็นตอนย่อยตอนหนึ่งในซีรีย์สืบสวนสักเรื่องมากกว่า
แต่ในการดำเนินเรื่องทั้ง 8 ตอน กลับสร้างความน่าติดตามได้อย่างลงตัว ทุกตอนๆสามารถทำให้คนดูเกิดประเด็นให้ขบคิด ตั้งทฤษฎีใหม่ๆขึ้นมา
บทสรุปของเรื่องเดาได้ไม่ยากนัก มันไม่ได้หักมุมจนอึ้งต้องลุกขึ้นมาตบมือ เพราะประเด็นหลักของเรื่องไม่ใช่ปริศนาแต่เป็นโศกนาฎกรรม
ตัวละครที่ทำให้ผมรู้สึกเห็นใจมากที่สุดในหนังเรื่องนี้ไม่ใช่นางเอกแต่เป็นนายตำรวจ
เพราะเมื่อถึงบทสรุปสุดท้าย เรื่องราวทุกอย่างมีคำตอบที่ลงตัว เหลือแต่ปัญหาของนายตำรวจที่ยังค้างคาและคงติดอยู่ในชีวิตของเขาตลอดกาล
หรือว่าคนที่เป็น The Sinner แท้จริงแล้วไม่ใช่นางเอก แต่เป็นนายตำรวจคนนี้ต่างหาก
...
..
.
Mr.Robot ซีรีย์แฮกเกอร์เล่นใหญ่ แฺฮ็คจนระบบการเงินล่มสลายเศรษฐกิจพังยับเยินดำเนินเรื่องมาถึงภาค 3
เป็นอีกหนึ่งซีรีย์ที่โดนกาดอกจันหมายหัวขึ้นบัญชีเตรียมเลิกติดตามไว้อยู่ ถ้า Season 3 ไม่ดีพอดรอปทิ้งแน่นอน
เพราะจากการประสบความสำเร็จใน Season 1 ได้รับเสียงชมและสร้างแฟนๆผู้ติดตามขึ้นมามากมาย
ทำให้ผู้สร้างได้ใจติสท์แตกหรือคิดเอาเองว่าทำแบบนี้แล้วแฟนๆชอบก็ไม่อาจทราบได้
ผลที่ตามมา Season 2 เลยมัวแต่ยืดยาดลากไปหลายตอนกับประเด็นที่มันสามารถจบได้แค่ใน 1-2 ตอน
เสียเวลาจนเนื้อเรื่องหลักไม่คืบหน้า ให้น้ำหนักเนื้อหาผิดสัดส่วนอย่างไม่น่าให้อภัย เล่นเอาซะแฟนๆผิดหวังเกิดอาการเซ็งไปตามกัน
รวมทั้งการทิ้ง Hint เพิ่มปมใหม่ๆเข้ามา มันชวนให้คิดว่าจะส่อแววกลายเป็นซีรีย์พาเที่ยวทะเลในไม่ช้า
พลอยทำให้เรทติ้ง Mr.Robot ตกฮวบฮาบ ความเสียหายไม่ได้จบแค่ Season 2 มันส่งผลกระทบมาถึง Season 3 ด้วย
ไม่รู้ว่าช่วง Season 2 มีแฟนๆเข้าไปบ่นด่าจัดหนักกันมากขนาดไหน ทำให้ Season 3 ดูแล้วรู้สึกได้เลยว่านี่เป็นงานไถ่บาป
ทีมงานยอมรับข้อผิดพลาดและพยายามแก้ไขอย่างสุดฝีมือ โดยรวมแล้วถือว่า Season 3 เป็นงานดีมีคุณภาพ
เดินเรื่องได้เร่งรุกฉับไวพยายามเล่าให้มากที่สุด หากเปรียบการเดินเรื่องของ Season 1 เป็นคนใส่รองเท้าแตะเดินเอื่อยๆ
Season 2 ก็คงเป็นคนเดินเท้าเปล่า ก้าวหน้า 3 ก้าวแล้วถอยหลัง 2 ก้าว แต่ Season 3 นี่เรียกว่าคนใส่รองเท้ากีฬาปั่นเท้าวิ่งกระหน่ำแบบไม่คิดชีวิต
ส่วนตัวมองว่าเนื้อหาบางจุดของ Season 3 มันควรอยู่ใน Season 2 มากกว่า เพราะจะขยายความอํธิบายลำดับที่มาที่ไปให้เหตุผลได้ชัดเจนกว่านี้
พออัดทุกอย่างลงใน Season 3 เพราะต้องการเร่งเนื้อเรื่อง มันเลยมีบทหลุดไม่เนียนออกมา ถ้าไม่จ้องจับผิดนักก็ไม่รู้สึกขัดใจหรอกแค่ตะหงิดเล็กๆ
แต่ถึงกระนั้นต้องยอมรับว่า Season 3 สนุกจริง มีปล่อยหมัดเด็ดทุกตอน ไม่มีกั๊กไม่ลากเรื่องให้เสียอารมณ์
เป็นที่น่าเสียดายโดยคุณภาพเนื้องานชอง Season 3 สามารถสร้างเรทติ้งให้สวยงามได้ไม่ยาก
แต่ไปติดตรงความเสียหายที่ Season 2 ได้ก่อไว้ ทำศรัทธาแฟนๆหดหาย กลายเป็นตัวฉุดกระชากชลอเรทติ้ง
ผมเองเปิด Season 3 มาดูไปได้สองตอนยอมรับว่าดรอปทิ้งไปชั่วขณะ เปลี่ยนไปดูอย่างอื่นแทนเพราะยังรู้สึกเซ็งจาก Season 2 ไม่หาย
กว่าจะกลับมาดูจนจบก็นานโขหลายสัปดาห์อยู่
...
..
.
Dark ก่อนจะได้ฤกษ์ฉาย เห็นในบ้านเรามีกระแสฮือฮาอยากดู คาดหวังว่ามันจะให้ความบันเทิงเหมือน Stranger Things
แต่ผมเห็นแววว่ามันไมใช่ตั้งแต่ต้นแล้วล่ะครับ เพราะเป็นหนังจากภาคพื้นยุโรป อารมณ์มันจะไม่เหมือนหนังฮอลลีวู้ดที่บ้านเราคุ้นเคย
ทางยุโรปเขามักจะเดินเรื่องแบบเนิบนาบนุ่มลึก ถ้าคนไม่ชินการเดินเรื่องแบบนี้เกรงว่าจะพาลเบื่อเสียก่อน
Dark เป็นซีรีย์หนังเยอรมันมีทั้งหมด 11 ตอน (ยังไม่จบ มีปมต่อ Season 2 ) และแน่นอนพูดภาษาเยอรมันกันทั้งเรื่อง
ด้วยเหตุนี้เลยตั้งใจดูมากเป็นพิเศษเพราะผมฟังภาษาเยอรมันไม่รู้เรื่อง จำเป็นต้องอ่านซับตลอด
เรื่องราวของ Dark เกิดขึ้นในเมืองเล็กๆแห่งหนึ่งในประเทศเยอรมัน เมืองนี้มีความพิเศษตรงเป็นที่ตั้งโรงงานไฟฟ้าพลังนิวเคลียร์
เมืองเหมือนดูสงบสุขเรียบร้อยดีแตก็มีคดีสะเทือนขวัญการหายตัวไปอย่างลึกลับของพวกเด็กๆ
ประเด็นหลักของ Dark นั้น จะว่าด้วยการเดินทางข้ามเวลาคาบเกี่ยวกันถึงสามยุคสมัยของเมืองนี้ ที่ปี 2019 , ปี 1986 และปี 1953
เห็นความสัมพันธ์อันยุ่งเหยิงและน่าเจ็บปวดของผู้คนในเมืองจากรุ่นสู่รุ่น ผลกระทบจากอดีตไปปัจจุบัน สู่อนาคต
โดยตัวหนังจะอิงทางวิทยาศาสตร์ทฤษฎีรูหนอน แต่แอบแฝงไปด้วยปาฎิหาริย์ความลึกลับที่ยากอธิบาย
ถึงแม้จะดำเนินเรื่องเนิบๆสไตล์ยุโรปพร้อมกับเนื้อหาที่ดูสับสนเพราะว่าด้วยช่วงเวลาที่ต่างกัน
แต่หนังกลับเล่าเรื่องได้ไม่งง(ถ้าตั้งใจดู) เพราะงานละเมียดบรรจงตั้งใจเก็บรายละเอียดมีความน่าติดตามสูงมาก
ผมสามารถดูติดๆกัน 4 ตอนรวดโดยไม่รู้สึกง่วงเหงาหาวนอนเลยสักนิด ดูแล้วก็รู้สึกคันมือยิกๆ อยากจะเขียน Family Tree กับ Timeline
หนังมีบรรยากาศของยุค 80 แต่ไม่ได้ใช้เป็นจุดขายหลักแบบ Stranger Things อีกทั้งมันเป็นยุค 80 ของเยอรมันและตัวเมืองก็ดูเป็นชนบทยุโรป
หนังโฟกัสที่ปี 1986 เยอรมันในยุคนั้นยังแบ่งเป็นตะวันออกกับตะวันตกอยู่ (กำแพงเบอร์ลินโดนทุบปี 1989)
ซึ่งเราคนไทยส่วนใหญ่ไม่มีประสบการณ์ร่วมกับบรรยากาศแบบนี้ ถ้าพูดถึงเยอรมันสมัยนั้นก็คงนึกถึงแต่วง Scorpions มาก่อน
ต่างจาก Stranger Things ที่เป็น ยุค 80 ของอเมริกา ซึ่้งหลายๆอย่างในยุคนั้นบ้านเราได้รับอิทธิพลมาจากอเมริกามาไม่น้อย
พอได้เห็นโฆษณาหนัง The Terminator แล้วอดอมยิ้มไม่ได้ หรืออินโทรเพลง Runaway ของ Bon Jovi ดังขึ้นมา แหม!! ใช่เลย นี่แหละยุค 80
เครดิตรูปภาพประกอบ : http://www.imdb.com/