วันอาทิตย์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

คุมคลุมเครือ

ผมเป็นผลผลิตจากระบบการศึกษาไทยเต็มร้อยอย่างไม่ต้องสงสัย ทั้งแนวคิด ทั้งอุดมการณ์ ทั้งรูปแบบประชาชนตามอุดมคติของรัฐ
ล้วนถูกปลูกฝังรากลึกอยู่ในหัวผ่านระบบการศึกษาตั้งแต่เด็กจนโต  ฝังแน่นหนาจนยากที่จะขุดถอนรากถอนโคนออกมา
ดังนั้นผมจึงรู้ดีว่าสิ่งเหล่านั้นมันมีอิทธิผลต่ความคิดเพียงใด ถึงแม้ความรู้เพิ่มพูนประสบการณ์มากขึ้น
จนสามารถไตร่ตรองสร้างกระบวนความคิดอย่างมีตรรกะเหตุผล ได้เห็นแจ้งว่ามีสิ่งผิดปกติมีเรื่องไม่ถูกต้องในสังคม
แต่ถ้าความคิดนั้นมันขัดแย้งกับสิ่งที่ปลูกฝังไว้  ลึกๆในใจก็จะมีอะไรบางอย่างมาคอยกดทับฉุดรั้งไว้

วิธีคิดแบบเชิงวิพากษ์เป็นสิ่งที่ขาดแคลนในระบบการศึกษาของไทย  เหตุเพราะรัฐในยุคเริ่มต้นต้องการพลเมืองที่เชื่อฟังทันทีโดยไม่ต้องคิด
การไร้ความคิดเชิงวิพากษ์นั้นดีและง่ายสำหรับการปกครอง เมื่อประชาชนไม่ตั้งคำถาม จะจัดการอะไรก็ง่ายดาย
แต่ทว่าสังคมที่คล้อยตามทุกอย่างโดยไม่ไตร่ตรอง ปลายทางแล้วจะนำมาสู่ความวุ่นวายมากกว่าความสงบสุข
ผมมองว่าสังคมไทยอยู่ ณ สุดปลายทางนั้นแล้ว  ความวุ่นวายทางการเมืองในตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมาพิสูจน์ได้เป็นอย่างดี
ว่าการคล้อยตามเชื่อทุกอย่าง โดยไม่แม้จะฉุกคิดตั้งคำถาม พิสูจน์ข้อเท็จจริง มันนำพาปัญหาให้ลุกลามต่อเนื่องเรื้อรังเพียงใด
เป็นเรื่องน่าเศร้าที่ประชาชนโดนชักจูงให้กระทำการบางอย่าง เพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มคนบางกลุ่ม โดยที่ประชาชนไม่ได้อะไรกลับมาเลย
และเป็นเรื่องตลกที่ขำไม่ออก เมื่อประชาชนผู้โดนชักจูงกลับทำตัวเป็น IO ปกป้องผู้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์เสียเอง

สังคมที่คิดเชิงวิพากษ์ไม่เป็นจะทำให้คนฉลาดกลายเป็นคนโง่ในบางเรื่อง  นี่คือปัญหาใหญ่ที่ทำให้สังคมไทยไปต่อไม่ได้ 
แล้วเราจะแก้ปัญหานี้ได้อย่างไร?  หากแก้ที่ปัจจุบันคงไม่ทันเสียแล้ว  เพราะการเปลี่ยนความคิดคนที่โดนฝังหัวไปแล้วนั้นเป็นเรื่องยาก
ถึงแม้รู้สึกตัวได้เองก็จะมีอะไรรั้งไว้ในใจอยู่ดี ดังที่ผมเกริ่นในย่อหน้าแรก
เราต้องแก้ที่อนาคตโดยการปฎิรูปการศึกษา ในเบื้องต้นสิ่งสำคัญสุดต้องปลูกฝังความคิดเชิงวิพากษ์ให้เด็กทุกคนหัดตั้งคำถามให้เป็น
ต้องปล่อยให้เด็กกล้าที่จะพูดและผู้ใหญ่ก็ต้องยอมรับฟังทุกเรื่อง  ไม่ทำตัวใจคอคับแคบฟังเด็ํกพูดเฉพาะเรื่องที่ตัวเองอยากฟัง มันทุเรศ
แล้วเมื่อเด็กพวกนี้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ เขาก็จะเป็นแรงขับเคลื่อนทำให้สังคมเกิดการเปลี่ยนแปลงมีทางเดินหน้าไปต่อได้

งบการศึกษาของเมืองไทยนั้นสูงมาก  หากตั้งใจจะปฎิรูปอย่างจริงจังก็คงสามารถพัฒนาทำได้เต็มที่
แต่งบที่มากมายนั้นเอาไปใช้ทำอะไรเสียหมด เราถึงได้ระบบการศึกษาด้อยคุณภาพมาตรฐานดิ่งลงเหว
หรืองบที่ทุ่มเทมากมายนั้นเอาไว้ใช้เพื่อดำรงความคลุมเครือควบคุมความคิดของประชาชน
เราไม่อาจบอกว่่านี่คือล้มเหลวของระบบการศึกษาไทย เพราะผลลัพธ์ที่ได้มานั้นตรงตามจุดประสงค์แรกเริ่มของรัฐ 
ต้องการพลเมืองที่เชื่อฟังอย่างเดียว เพื่อสร้างชาติให้เป็นปึกแผ่น  แต่นั่นเป็นเหตุผลตามบริบทของยุคสมัย
ในอดีตอาจเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องทำเช่นนั้น แต่ในปัจจุบันนี้ยังมีความจำเป็นต้องทำเช่นนั้นอยู่อีกหรือ
หรือคุณภาพพลเมืองไม่สำคัญเท่ากับการรักษาฐานอำนาจ ?