วันจันทร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2561

The Sinner , Mr.Robot , Dark

"ตั้งหน้าจอมือถือเป็นรูปผีน่ากลัว เพื่อกันไม่ให้ลูกเล่นมือถือ"
เห็นแล้วก็อึ้งทึ่งปนสงสัย มุกหลอกให้กลัวนั้นกลัวนี้เพื่อให้เด็กอยู่ในโอวาทคำสั่ง  ยุคนี้แล้วยังจะใช้วิธีนี้เลี้ยงลูกกันอยู่อีกหรือ
ไอ้เรื่องปัญหาครอบครัวการเลี้ยงดูเด็ก  ส่วนตัวแล้วไม่อยากวิพากษ์วิจารณ์  เพราะตัวเองเป็นคนไม่มีครอบครัวไม่มีลูก
ยอมรับว่าไม่อาจเข้าใจหัวอกคนเป็นพ่อเป็นแม่ได้เต็มร้อย  ไม่สามารถมองมิติของปัญหาได้ครบถ้วน

แต่อยากจะเตือนสักเล็กน้อยว่า วัยเด็กนั้นสำคัญมาก สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตช่วงนี้มันสามารถมีผลกระทบต่อชีวิตตลอดไป
การหลอกให้เด็กกลัวโดยผู้ใหญ่เอาเหตุผลไปซ่อนไว้ แล้วบิดเบือนแทนที่ด้วยภาพมายา  มันเป็นตรรกะวิบัติ
ทำซ้ำกันจนเป็นวงจรอุบาทว์ฝังรากลึกในสังคม  เพราะเมื่อเด็กโตเป็นผู้ใหญ่มีครอบครัว ก็ใช้ตรรกะนี้สั่งสอนลูกตัวเองสืบต่อ 
สังคมเราเลยกล้าเป็นสังคมที่กลัวในสิ่งที่ไม่มีเหตุผล กลัวเพราะมีคนบอกให้กลัว  กว่าจะคิดได้ว่าทำไมต้องกลัว 
บางคนใช้เวลาทั้งชีวิตกว่าจะคิดออก บางคนแม้ตายแล้วก็ยังคิดไม่ออก

เฮ้อ...  เขียนอะไรเข้าใจยากอีกแล้ว พอดีกว่า  หลาย Entry ที่ผ่านมาเขียนแต่ไรหนักๆ ชีวิตจะเครียดอะไรกันนักกันหนา
เขียนเรื่องเบาๆบ้างดีกว่า   Entry นี้จะพูดถึงเฉพาะหนังซีรีย์ที่ได้ดูจนจบในช่วงที่ผ่านมา
...
..
.


The Sinner    ตัวเอกเป็นคุณแม่วัยสาว  ในขณะที่พักผ่อนหย่อนใจนั่งอยู่บนชายหาดกับสามีและลูกน้อย
อยูดีๆเธอก็ลุกขึ้นมา และได้ใช้มีดปอกผลไม้เข้าไปจ้วงแทงชายหนุ่มที่กำลังพลอดรักแฟนสาวอยู่ไม่ไกลจากครอบครัวของเธอ
ชายคนนั้นเสียชีวิต  ผู้คนต่างตกใจแตกตื่นกันทั้งชายหาดและเธอก็ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงได้ก่อคดีฆาตกรรมไม่คาดฝันเช่นนี้


โดยรูปการณ์แล้วเหมือนจะเป็นคดีที่ปิดได้ง่ายดาย  เพราะหลักฐานชัดเจน มีพยานเป็นร้อย ผู้ต้องหารับสารภาพทุกข้อกล่าวหา
แต่นายตำรวจผู้รับผิดชอบคดีนี้กลับไม่คิดเช่นนั้น  อาจเพราะปัญหาชีวิตส่วนตัวหรือเพราะปมบิดเบี้ยวในใจเขา
กระตุ้นเตือนบางอย่างว่าคดีนี้ต้องมีความลับอะไรซ่อนอยู่....

ดูหน้าหนังเฉยๆ  อ่านพล็อทเรื่องย่อก็น่าสนใจนิดหน่อย มันน่าเป็นตอนย่อยตอนหนึ่งในซีรีย์สืบสวนสักเรื่องมากกว่า
แต่ในการดำเนินเรื่องทั้ง  8 ตอน กลับสร้างความน่าติดตามได้อย่างลงตัว  ทุกตอนๆสามารถทำให้คนดูเกิดประเด็นให้ขบคิด ตั้งทฤษฎีใหม่ๆขึ้นมา



บทสรุปของเรื่องเดาได้ไม่ยากนัก มันไม่ได้หักมุมจนอึ้งต้องลุกขึ้นมาตบมือ  เพราะประเด็นหลักของเรื่องไม่ใช่ปริศนาแต่เป็นโศกนาฎกรรม
ตัวละครที่ทำให้ผมรู้สึกเห็นใจมากที่สุดในหนังเรื่องนี้ไม่ใช่นางเอกแต่เป็นนายตำรวจ
เพราะเมื่อถึงบทสรุปสุดท้าย  เรื่องราวทุกอย่างมีคำตอบที่ลงตัว  เหลือแต่ปัญหาของนายตำรวจที่ยังค้างคาและคงติดอยู่ในชีวิตของเขาตลอดกาล
หรือว่าคนที่เป็น The Sinner  แท้จริงแล้วไม่ใช่นางเอก แต่เป็นนายตำรวจคนนี้ต่างหาก
...
..
.





Mr.Robot  ซีรีย์แฮกเกอร์เล่นใหญ่ แฺฮ็คจนระบบการเงินล่มสลายเศรษฐกิจพังยับเยินดำเนินเรื่องมาถึงภาค 3 
เป็นอีกหนึ่งซีรีย์ที่โดนกาดอกจันหมายหัวขึ้นบัญชีเตรียมเลิกติดตามไว้อยู่   ถ้า Season 3 ไม่ดีพอดรอปทิ้งแน่นอน

เพราะจากการประสบความสำเร็จใน Season 1  ได้รับเสียงชมและสร้างแฟนๆผู้ติดตามขึ้นมามากมาย
ทำให้ผู้สร้างได้ใจติสท์แตกหรือคิดเอาเองว่าทำแบบนี้แล้วแฟนๆชอบก็ไม่อาจทราบได้
ผลที่ตามมา  Season 2  เลยมัวแต่ยืดยาดลากไปหลายตอนกับประเด็นที่มันสามารถจบได้แค่ใน 1-2 ตอน 
เสียเวลาจนเนื้อเรื่องหลักไม่คืบหน้า ให้น้ำหนักเนื้อหาผิดสัดส่วนอย่างไม่น่าให้อภัย เล่นเอาซะแฟนๆผิดหวังเกิดอาการเซ็งไปตามกัน 
รวมทั้งการทิ้ง Hint เพิ่มปมใหม่ๆเข้ามา  มันชวนให้คิดว่าจะส่อแววกลายเป็นซีรีย์พาเที่ยวทะเลในไม่ช้า
พลอยทำให้เรทติ้ง Mr.Robot ตกฮวบฮาบ ความเสียหายไม่ได้จบแค่ Season 2 มันส่งผลกระทบมาถึง Season 3 ด้วย




ไม่รู้ว่าช่วง Season 2 มีแฟนๆเข้าไปบ่นด่าจัดหนักกันมากขนาดไหน ทำให้ Season 3  ดูแล้วรู้สึกได้เลยว่านี่เป็นงานไถ่บาป 
ทีมงานยอมรับข้อผิดพลาดและพยายามแก้ไขอย่างสุดฝีมือ  โดยรวมแล้วถือว่า Season 3  เป็นงานดีมีคุณภาพ
เดินเรื่องได้เร่งรุกฉับไวพยายามเล่าให้มากที่สุด   หากเปรียบการเดินเรื่องของ Season 1 เป็นคนใส่รองเท้าแตะเดินเอื่อยๆ
Season  2  ก็คงเป็นคนเดินเท้าเปล่า ก้าวหน้า 3 ก้าวแล้วถอยหลัง 2 ก้าว  แต่ Season 3 นี่เรียกว่าคนใส่รองเท้ากีฬาปั่นเท้าวิ่งกระหน่ำแบบไม่คิดชีวิต

ส่วนตัวมองว่าเนื้อหาบางจุดของ Season 3  มันควรอยู่ใน Season 2  มากกว่า  เพราะจะขยายความอํธิบายลำดับที่มาที่ไปให้เหตุผลได้ชัดเจนกว่านี้
พออัดทุกอย่างลงใน Season 3 เพราะต้องการเร่งเนื้อเรื่อง มันเลยมีบทหลุดไม่เนียนออกมา  ถ้าไม่จ้องจับผิดนักก็ไม่รู้สึกขัดใจหรอกแค่ตะหงิดเล็กๆ



แต่ถึงกระนั้นต้องยอมรับว่า Season 3 สนุกจริง  มีปล่อยหมัดเด็ดทุกตอน  ไม่มีกั๊กไม่ลากเรื่องให้เสียอารมณ์
เป็นที่น่าเสียดายโดยคุณภาพเนื้องานชอง Season 3 สามารถสร้างเรทติ้งให้สวยงามได้ไม่ยาก
แต่ไปติดตรงความเสียหายที่ Season 2 ได้ก่อไว้  ทำศรัทธาแฟนๆหดหาย กลายเป็นตัวฉุดกระชากชลอเรทติ้ง
ผมเองเปิด Season 3  มาดูไปได้สองตอนยอมรับว่าดรอปทิ้งไปชั่วขณะ เปลี่ยนไปดูอย่างอื่นแทนเพราะยังรู้สึกเซ็งจาก Season 2 ไม่หาย 
กว่าจะกลับมาดูจนจบก็นานโขหลายสัปดาห์อยู่
...
..
.




Dark   ก่อนจะได้ฤกษ์ฉาย เห็นในบ้านเรามีกระแสฮือฮาอยากดู คาดหวังว่ามันจะให้ความบันเทิงเหมือน  Stranger Things
แต่ผมเห็นแววว่ามันไมใช่ตั้งแต่ต้นแล้วล่ะครับ เพราะเป็นหนังจากภาคพื้นยุโรป อารมณ์มันจะไม่เหมือนหนังฮอลลีวู้ดที่บ้านเราคุ้นเคย
ทางยุโรปเขามักจะเดินเรื่องแบบเนิบนาบนุ่มลึก   ถ้าคนไม่ชินการเดินเรื่องแบบนี้เกรงว่าจะพาลเบื่อเสียก่อน

Dark เป็นซีรีย์หนังเยอรมันมีทั้งหมด  11 ตอน (ยังไม่จบ มีปมต่อ Season 2 ) และแน่นอนพูดภาษาเยอรมันกันทั้งเรื่อง 
ด้วยเหตุนี้เลยตั้งใจดูมากเป็นพิเศษเพราะผมฟังภาษาเยอรมันไม่รู้เรื่อง จำเป็นต้องอ่านซับตลอด




เรื่องราวของ Dark เกิดขึ้นในเมืองเล็กๆแห่งหนึ่งในประเทศเยอรมัน  เมืองนี้มีความพิเศษตรงเป็นที่ตั้งโรงงานไฟฟ้าพลังนิวเคลียร์ 
เมืองเหมือนดูสงบสุขเรียบร้อยดีแตก็มีคดีสะเทือนขวัญการหายตัวไปอย่างลึกลับของพวกเด็กๆ



ประเด็นหลักของ Dark นั้น  จะว่าด้วยการเดินทางข้ามเวลาคาบเกี่ยวกันถึงสามยุคสมัยของเมืองนี้  ที่ปี 2019 ,  ปี 1986  และปี 1953
เห็นความสัมพันธ์อันยุ่งเหยิงและน่าเจ็บปวดของผู้คนในเมืองจากรุ่นสู่รุ่น  ผลกระทบจากอดีตไปปัจจุบัน สู่อนาคต
โดยตัวหนังจะอิงทางวิทยาศาสตร์ทฤษฎีรูหนอน แต่แอบแฝงไปด้วยปาฎิหาริย์ความลึกลับที่ยากอธิบาย

ถึงแม้จะดำเนินเรื่องเนิบๆสไตล์ยุโรปพร้อมกับเนื้อหาที่ดูสับสนเพราะว่าด้วยช่วงเวลาที่ต่างกัน 
แต่หนังกลับเล่าเรื่องได้ไม่งง(ถ้าตั้งใจดู)  เพราะงานละเมียดบรรจงตั้งใจเก็บรายละเอียดมีความน่าติดตามสูงมาก
ผมสามารถดูติดๆกัน 4 ตอนรวดโดยไม่รู้สึกง่วงเหงาหาวนอนเลยสักนิด   ดูแล้วก็รู้สึกคันมือยิกๆ อยากจะเขียน Family Tree กับ Timeline

หนังมีบรรยากาศของยุค 80  แต่ไม่ได้ใช้เป็นจุดขายหลักแบบ Stranger Things อีกทั้งมันเป็นยุค 80 ของเยอรมันและตัวเมืองก็ดูเป็นชนบทยุโรป
หนังโฟกัสที่ปี 1986  เยอรมันในยุคนั้นยังแบ่งเป็นตะวันออกกับตะวันตกอยู่  (กำแพงเบอร์ลินโดนทุบปี 1989)
ซึ่งเราคนไทยส่วนใหญ่ไม่มีประสบการณ์ร่วมกับบรรยากาศแบบนี้  ถ้าพูดถึงเยอรมันสมัยนั้นก็คงนึกถึงแต่วง Scorpions มาก่อน

ต่างจาก Stranger Things ที่เป็น ยุค 80 ของอเมริกา ซึ่้งหลายๆอย่างในยุคนั้นบ้านเราได้รับอิทธิพลมาจากอเมริกามาไม่น้อย 
พอได้เห็นโฆษณาหนัง The Terminator แล้วอดอมยิ้มไม่ได้ หรืออินโทรเพลง Runaway ของ  Bon Jovi   ดังขึ้นมา  แหม!! ใช่เลย นี่แหละยุค 80



เครดิตรูปภาพประกอบ :  http://www.imdb.com/